คาร์ซีทยี่ห้อไหนดี? คำถามยอดฮิตกับวิธีเลือกซื้อที่ถูกต้อง

คาร์ซีทยี่ห้อไหนดี

DATE
27.04.2020

คาร์ซีทยี่ห้อไหนดี 1140x810 1

สับสนว่าจะต้องเลือกซื้อคาร์ซีทยี่ห้อไหนดีอยู่หรือเปล่า? ลองอ่านบทความนี้ดู แล้วคุณจะเลือกคาร์ซีทคุณภาพเยี่ยมเป็นได้ในบทความเดียว

คาร์ซีทนั้นมีราคาค่อนข้างแพง แต่ที่มีราคาแพงก็เพราะว่าเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นอย่างมากสำหรับความปลอดภัยของลูกน้อย แม้ว่าในประเทศไทย อาจจะยังไม่มีกฎหมายที่รองรับในเรื่องนี้ แต่ในประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีการบังคับให้พ่อแม่ผู้ปกครองใช้คาร์ซีทเสมอ เพราะมันมีผลกับความปลอดภัยของเด็กอย่างมากนั่นเอง 

โดยข้อมูลจาก CDC ของประเทศสหรัฐอเมริกาสำรวจพบว่าการใช้คาร์ชีทจะสามารถลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตทางอุบัติเหตุรถยนต์ของเด็กมากถึง 71% ดังนั้นจะเห็นว่าคาร์ซีทถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่ยังไงก็ต้องลงทุนซื้อติดรถเอาไว้ มองข้ามไม่ได้เด็ดขาด 

คาร์ซีทนั้นมีให้เลือกมากมายในท้องตลาด สำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่ไม่รู้ว่าจะต้องเลือกซื้อคาร์ซีทแบบไหนให้เหมาะสม รวมทั้งยังมีความปลอดภัยสูงสุดต่อลูกน้อย ลองอ่านบทความนี้ดูค่ะ เราจะแนะนำทุกเรื่องที่คุณควรพิจารณาในการเลือกคาร์ซีท (Car Seat)

โดยจะแบ่งหัวข้อที่ต้องพิจารณาเป็น 6 เรื่องดังต่อไปนี้:

  • การประเมินคุณภาพของคาร์ซีท (Car Seat)
  • ความเข้ากันกับช่วงอายุของลูก
  • สามารถติดตั้งง่ายและปลอดภัย
  • มีการป้องกันแรงกระแทกด้านข้าง
  • เหมาะกับสรีระที่กำลังเจริญเติบโตของลูก
  • วัสดุสามารถทำความสะอาดง่าย

1. การประเมินคุณภาพของคาร์ซีท (Car Seat)

นอกจากเรื่องว่าคาร์ซีทแบรนด์นั้นๆ มีมาตรฐานแค่ไหน สามารถเชื่อใจได้ไหม สิ่งที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติมเพื่อให้ได้คาร์ซีทที่มีคุณภาพและความปลอดภัยสูงสุดมีดังนี้

1.1 ป้ายรับรองมาตรฐาน

อย่าเห็นว่าแบรนด์ดูพอมีชื่อเสียงก็เลือกๆ แบบขอไปที ให้ตรวจเช็คให้แน่ใจว่าคาร์ซีทรุ่นนั้นได้ผ่านการทดสอบมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผ่านมาตรฐานที่ชื่อว่า ECE R44 และ UNr 129 

ความแตกต่างของมาตรฐานการทดสอบทั้งสองแบบก็คือ ECE R44 จะเป็นมาตรฐานที่ทดสอบการกระแทกด้านหน้าและด้านหลังของตัวคาร์ซีท ในขณะที่ UNr 129 จะเป็นการทดสอบการกระแทกจากด้านข้าง

1.2 ระบบเข็มขัดรัด 5 จุด (5-points harness)

แน่นอนว่าการใช้สายรัดแบบห้าจุดจะรัดกุมมากกว่า และสามารถปกป้องลูกน้อยของคุณดีกว่าสายรัดสามจุด หรือเข็มขัดนิรภัยธรรมดา ระบบเข็มขัดรัด 5 จุดที่ว่าก็คือจะมีรัดไหล่ 2 เส้นของแต่ละข้าง รัดเอว 2 เส้น และผ่านระหว่างขาอีก 1 เส้น ทั้งหมดจะมาเจอกันที่จัดรัดที่อยู่ตรงกลางบอดี้ของเด็ก

1.3 รีวิวและความนิยม 

อันนี้ก็คล้ายๆ กับการเลือกซื้อสิ่งของทั่วไปที่ทุกคนก็เป็นกัน นั่นก็คือต้องหารีวิวหรือดูเรทติ้งของสินค้าชิ้นนั้นๆ ก่อน ถ้าสินค้าชิ้นนั้นดูไม่ค่อยมีคนรีวิวหรือให้คะแนน แสดงว่าอาจจะยังไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก เวลามีปัญหาเรื่องการใช้งาน อาจจะทำให้หารีวิวหรือคู่มือดูตัวอย่างยาก

1.4 ความใหม่-เก่าของคาร์ซีท 

แน่นอนว่าอันนี้เป็นข้อที่ชัดเจน ถึงแม้ว่าคาร์ซีทมือสองอาจจะมีราคาถูกกว่ามือหนึ่ง แต่จะแน่ใจได้ยังไงว่าประสิทธิภาพของมันยังอยู่เต็ม 100 เหมือนตอนออกมาจากโรงงาน ดังนั้น เพื่อความมั่นใจสูงสุด การซื้อคาร์ซีทมือหนึ่งจึงเป็นเรื่องที่แน่นอนกว่าในแง่ของความปลอดภัยและสบายใจของคุณพ่อคุณแม่เอง

2. คาร์ซีทต้องเข้ากันกับช่วงอายุและส่วนสูงของลูก

เลือกคาร์ซีท

คาร์ซีทสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ แต่ละประเภทจะเหมาะสมกับเด็กแต่ละช่วงอายุและส่วนสูงที่ไม่เหมือนกัน

แบบที่ 1 คาร์ซีทเด็กแรกเกิด (Baby Car Seat)

คาร์ซีทกลุ่มนี้เหมาะสำหรับเด็กแรกเกิดถึงอายุประมาณ 12 เดือนบวกหรือลบไม่กี่เดือนขึ้นอยู่กับส่วนสูงของบอดี้ของลูก เมื่อเด็กสามารถตั้งศีรษะได้อย่างมั่นคง และถึงส่วนสูงสูงสุดที่คาร์ซีทประเภทนี้รับได้แล้วก็ต้องเปลี่ยนไปเป็นคาร์ซีทประเภทถัดไป

แบบที่ 2 คาร์ซีทสำหรับเด็กเล็ก (Car Seat for toddlers)

ต่อไปคือคาร์ซีทสำหรับเด็กเล็ก ตามข้อบังคับมาตรฐานความปลอดภัย UNr 129 เด็กเล็กที่แม้จะอายุครบ 2 ขวบแล้วควรนั่งในคาร์ซีทในแบบที่หันหน้าไปทางด้านหลัง (Rear-facing car seat) ต่ออย่างน้อย 15 เดือน (หรือจริงๆ ควรนานกว่านั้น) คาร์ซีทในกลุ่มนี้บางส่วนจะสามารถกลับให้หันไปข้างหน้าหรือหันไปข้างหลังก็ได้ในคาร์ซีทรุ่นเดียวกัน ทำให้ไม่ต้องซื้อใหม่แยก แล้วแต่การจัดวางให้เข้ากับลูกน้อย 

เราจะรู้ว่าลูกของเราต้องเปลี่ยนคาร์ซีทแล้วก็ต่อเมื่อศีรษะลูกถึงส่วนวางศีรษะบนสุดของคาร์ซีท และที่วางแขนไม่สามารถจะปรับไปมากกว่านั้นได้แล้ว ก็ให้เปลี่ยนไปเป็นคาร์ซีทแบบต่อไป

แบบที่ 3 บูสเตอร์ซีท (Booster Seat)

คาร์ซีทแบบบูสเตอร์ซีทจะเป็นคาร์ซีทสำหรับเด็กโตขึ้นมาหน่อย แน่นอนว่าจะเป็นคาร์ซีทที่ลูกน้อยได้ใช้นานที่สุดด้วยคือ อาจใช้ได้ตั้งแต่ 4-12 ขวบเลยทีเดียว หรือตามคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญคือ ควรนั่งจนถึงลูกส่วนสูงถึง 140 ซม. จึงเปลี่ยนมานั่งเบาะธรรมดาและคาด Seat Belt แบบผู้ใหญ่

อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับบูสเตอร์ซีท (Booster Seat) ได้ที่นี่

3. สามารถติดตั้งง่ายและปลอดภัย

ก่อนซื้อคาร์ซีทต้องคำนึงถึงการติดตั้งด้วย โดยให้ตรวจสอบว่าคุณมี ISOfix อยู่ในรถหรือไม่ ISOfix เป็นวงแหวนโลหะขนาดเล็กที่ด้านหลังส่วนล่างของเบาะที่นั่งรถยนต์เพื่อเชื่อมต่อที่คาร์ซีทกับเบาะรถยนต์ การติดตั้งด้วย ISOfix เป็นการติดตั้งที่ง่าย สะดวก รวดเร็วที่สุด 

4. มีการป้องกันแรงกระแทกด้านข้าง

ในอุบัติเหตุทางรถยนต์นั้น มากกว่า 25-30% จะเป็นการชนกระแทกที่เกิดขึ้นจากทางด้านข้าง เพื่อการป้องกันสูงสุด เราจึงต้องให้ความสำคัญกับการกันกระแทกด้านข้างด้วย แต่ในความเป็นจริงๆ วงการคาร์ซีทจะเน้นสร้างมาตรฐานการทดสอบการกระแทกด้านหน้าด้านหลังมากกว่า

ดังนั้น เมื่อเทียบกับมาตรฐานกันกระแทกด้านหน้ากับด้านหลังแล้ว มาตรฐานการกันกระแทกจากด้านข้างจะยังไม่ค่อยถูกพัฒนามากนัก นอกเหนือจากมาตรฐานแบบ UNr 129 ซึ่งเป็นมาตรฐานการทดสอบแบบใหม่ที่เราได้กล่าวถึงไปแล้วข้างต้น ก็จะยังไม่มีมาตรฐานอื่นๆ มารองรับในส่วนนี้

5. เหมาะกับสรีระที่กำลังเจริญเติบโตของลูก

เวลาเลือกควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าคาร์ซีทที่เราเลือกจะช่วยให้ลูกมีความปลอดภัยและความสะดวกสบายมากที่สุดตลอดระยะเวลาการใช้งานที่ยาวนานทั้ง 3 ช่วงเวลา (ตามแบบคาร์ซีทที่เราแบ่งประเภทไป 3 ประเภทข้างต้น) เมื่อเลือกคาร์ซีทอาจจะต้องเลือกเผื่อลูกโตไป 2-3 สเต็ป (แต่ก็ไม่ต้องเผื่อมากจนความรัดกุมหละหลวม) 

leather car seats treatment EYC7SR3 min

6. วัสดุสามารถทำความสะอาดง่าย

คาร์ซีทที่ทำจากวัสดุหรือเส้นใยผ้าที่กันน้ำจะสามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่ายกว่า วัสดุที่ซึมซับน้ำ ดังนั้นตอนเลือกต้องอย่าลืมคิดถึงตอนทำความสะอาดด้วย เพราะคาร์ซีทจะอยู่คู่กับรถคุณไปอีกนานกว่าลูกจะโต

คาร์ซีทยี่ห้อไหนดี?

จบกันไปแล้วกับข้อพิจารณาที่ควรคำนึงถึงเวลาเลือกซื้อคาร์ซีท ทีนี้สรุป แบรนด์ไหนดีหล่ะ? คำตอบก็คือแบรนด์ไหนหรือโมเดลก็ได้ที่มีครบทุกข้อที่กล่าวมา เพราะนั่นหมายถึงลูกน้อยของคุณจะได้นั่งในคาร์ซีทที่มีความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล

Baby Hills Thailand เองตระหนักถึงเรื่องความปลอดภัยมาเป็นที่หนึ่ง เราเป็นตัวแทนจำหน่ายเฉพาะแบรนด์ที่เราไว้ใจ ศึกษามาแล้วว่าได้มาตรฐานแน่นอนอย่าง DAIICHI สนใจผลิตภัณฑ์ของ DAIICHI กดดูรายการสินค้าที่นี่

Leave a Reply