ISOFIX คืออะไร? เกี่ยวยังไงกับวิธีติดตั้งคาร์ซีท

ISOFIX ย่อมาจากชื่อภาษาอังกฤษเต็ม International Standards Organization Fix ลองมาดูกันว่า ISOFIX คืออะไรแบบละเอียด แล้วมันเกี่ยวกับวิธีติดตั้งคาร์ซีทตรงไหน

ทุกคนรู้กันอยู่แล้วว่าคาร์ซีทสำคัญแค่ไหนกับความปลอดภัยในการเดินทางของลูกน้อย แม้ว่าเมื่อก่อนคาร์ซีทจะไม่ได้ถึงกับเป็นข้อบังคับ และได้รับความนิยม แต่เดี๋ยวนี้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ต่างก็ช็อปปิ้งหาคาร์ซีทติดรถ เพราะตระหนักถึงความสำคัญของคาร์ซีทนั่นเอง

ในระหว่างที่เลือกซื้อคาร์ซีท หลายคนอาจจะเจอกับคำศัพท์แปลกๆ ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน หนึ่งในนั้นต้องมีคำว่า ISOFIX แน่นอน แล้ว ISOFIX ที่ว่านั้นแปลว่าอะไร วันนี้เราจะมาดูกันว่า ISOFIX มันสำคัญยังไง หรือเกี่ยวกับวิธีติดตั้งคาร์ซีทตรงไหนบ้าง

ISOFIX คืออะไร?

ISOFIX ย่อมาจากชื่อภาษาอังกฤษเต็มที่ว่า International Standards Organization Fix ซึ่งเจ้า ISOFIX นี้ถือเป็นตัวช่วยที่จะทำให้คาร์ซีทถูกยึดเข้ากับเบาะรถยนต์ได้อย่างพอดีและปลอดภัย โดยไม่ต้องใช้เข็มขัดนิรภัยช่วย อีกทั้งถือเป็นการยึดคาร์ซีทที่ง่ายดาย ลดการเกิดข้อผิดพลาดใดๆ ที่อาจเกิดขึ้น

โดยในปัจจุบัน เจ้าตัว ISOFIX นี้ถือเป็นมาตรฐานที่ใช้กันทั่วโลก แม้ว่าอาจจะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป เช่น Latch ในอเมริกา หรือ CANFIX ในแคนาดา เป็นต้น 

ในปัจจุบัน รถรุ่นใหม่ๆ ล้วนแล้วแต่มีเจ้าตัว ISOFIX กันทั้งนั้น เพราะเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปี 2014 รถแทบทุกคันก็ถูกบังคับให้มี ISOFIX ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตเลยทีเดียว แต่ในรถยนต์ที่เก่ากว่าปี 2014 ก็อาจจะพบได้บ้างเช่นกัน

มี ISOFIX แล้วก็มี ISOFIT อีก สรุปมันต่างกันยังไง?

ISOFIX นั้นเป็นมาตรฐานตัวยึดคาร์ซีทกับเบาะทำงานร่วมกับคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดไปจนถึง 4 ขวบ ในขณะที่ถ้าเป็นคาร์ซีทสำหรับ 4 ขวบไปจนถึงเด็กโต จะเป็นระบบที่มีชื่อใกล้เคียงกันก็คือ ISOFIT แทน

ซึ่งการทำงานจะแตกต่างกันเล็กน้อยก็ตรงที่เมื่อเชื่อมกับคาร์ซีทสำหรับเด็กโตมากกว่า 4 ขวบขึ้นไป (หรือสูงตั้งแต่ 105 เซนติเมตร) แม้คาร์ซีทจะเชื่อมกับ ISOFIX อยู่เช่นเดิม แต่ในส่วนของการทำงานจะเริ่มมีการพึ่งพาเข็มขัดนิรภัยเข้ามาทำหน้าที่แทน เรียกการทำงานนี้ว่า ISOFIT

หลักการทำงานของ ISOFIX เป็นอย่างไร?

อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่าก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ไม่ใช่ว่ารถทุกรุ่นจะมี ISOFIX ให้เช็ครถที่คุณใช้อยู่ก่อนว่ามีตัว ISOFIX ติดตั้งมาไหม เพราะไม่ใช่ว่าไม่มีแล้วเราจะสามารถติดตั้งเองเพิ่มเข้าไปได้ ต้องมีมาให้ตั้งแต่แรกเท่านั้นจึงจะใช้ได้

ISOFIX ที่ถูกติดตั้งมาจะทำให้เราไม่ต้องปวดหัวว่าจะต้องจัดวางคาร์ซีทยังไง เพราะรถมี ISOFIX มายังไงเราก็ติดตั้งแบบนั้น โดยหลักการทำงานนั้นก็ง่ายมากคือ ที่คาร์ซีทจะมีตัว Connectors อยู่ที่ด้านหลังเอาไว้เชื่อมกับตัว ISOFIX ที่มีมาให้ในรถของเรา แค่เสียบเข้าด้วยกันให้ถูกจุดก็เป็นอันจบเรื่อง

ข้อดีของ ISOFIX

• ติดตั้งง่ายมาก
• ลดความเสี่ยงที่จะติดตั้งผิดตำแหน่ง โดยมีการสำรวจจาก German Insurance Institute (GDV) พบว่า 96% ของคาร์ซีทที่ติดตั้งวิธีนี้ล้วนแล้วแต่มีการจัดวางถูกต้อง ตรงข้ามกับการติดตั้งด้วยเข็มขัดนิรภัยนั้นพบว่าความถูกต้องลดลงเหลือแค่ 30% เท่านั้น ต่างกันอย่างมาก
• วิธีการติดตั้งแบบนี้ทำให้การยึดเกาะของคาร์ซีทมีความแข็งแรง

 

ข้อด้อยของ ISOFIX

• ไม่ได้มีในรถทุกรุ่น จะทำให้เกิดความยุ่งยากเล็กน้อย ถ้าหากใครที่ต้องเปลี่ยนคาร์ซีทเข้าออกรถหลายๆ คัน ดังนั้น ต้องแน่ใจว่ารถทุกคันที่คุณใช้มี ISOFIX ไหม จะได้วางแผนการซื้อถูกว่าควรซื้อและติดตั้งแบบไหน

รูปแบบของ ISOFIX

• Universal

ติดตั้งโดยสามารถใช้ได้ทั้งการยึดเกาะในส่วนบน (top tether) และส่วนล่าง (foot prop) เข้ากับพื้น ใช้สำหรับติดตั้งคาร์ซีทที่หันไปด้านหน้า (forward-facing) ด้วยชื่อ Universal ของมันก็พอบอกอยู่แล้วว่าเป็นแบบที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย รถโมเดลใหม่ส่วนใหญ่ใช้แบบนี้ทุกคัน

• Semi Universal

ติดตั้งโดยสามารถใช้ได้ทั้งการยึดเกาะในส่วนบน (top tether) และส่วนล่าง (foot prop) เข้ากับพื้น และส่วนของตัว connectors ที่เสียบเข้ากับเบาะด้วย ใช้ได้ทั้งสำหรับติดตั้งคาร์ซีทที่หันไปด้านหน้า (forward-facing) รวมทั้งแบบที่หันไปด้านหลัง (rearward-facing) 

• Vehicle Specific

อาศัยการยึดเกาะที่เสียบเข้ากับเบาะด้วยจุดเดียวเท่านั้น การติดตั้งวิธีนี้ต้องเช็คให้แน่ใจว่ารถที่เรามีเป็นโมเดลที่เหมาะกับการติดตั้งในลักษณะนี้

สรุป

จะเห็นว่าหลักการทำงานแบบ ISOFIX นั้นมีประโยชน์อย่างมาก เพราะทั้งง่าย ลดข้อผิดพลาดที่การจัดวางและติดตั้งคาร์ซีท ซึ่งนั้นหมายถึงเป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้กับลูกน้อยของคุณ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือคุณต้องเช็คดูให้ดีว่าในรถมีตัว ISOFIX นี้มาด้วยหรือไม่ จะได้วางแผนการซื้อ Car Seat ได้ถูกต้องเหมาะสมนั่นเอง