วิธีเลือกคาร์ซีทที่เหมาะสม สำหรับเด็กแรกเกิด
DATE
12.09.2022
การเตรียมอุปกรณ์ของใช้สำหรับเด็กแรกเกิดให้เพียบพร้อมก่อนถึงวันคลอดนับว่าเป็นการเตรียมตัวที่ดี ซึ่งรวมไปถึงคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดด้วยเช่นกัน เพื่อให้พร้อมใช้งานเมื่อถึงวันที่เดินทางออกจากโรงพยาบาลนั่นเอง อย่าลืมว่าสรีระร่างกายของเด็กแรกเกิดยังไม่แข็งแรงมากพอที่จะสามารถรับแรงกระแทกได้ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรป้องกันด้วยการเตรียมพร้อมไว้ก่อนกลายเป็นสิ่งจำเป็นนั่นเอง
คาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดมีกี่ประเภท
การเลือกคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดให้เหมาะสม สามารถช่วยเพิ่มความปลอดภัยของลูกน้อย
ขณะเดินทางได้ดี แต่ควรเลือกให้เหมาะสมกับน้ำหนักตัวและการใช้งาน ซึ่งมีอยู่ 2 ประเภท ดังนี้
- คาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิด Newborn Only หรือ “คาร์ซีทแบบกระเช้า”
ใช้งานได้ตั้งแต่วัยแรกเกิดจนถึงอายุ 9 เดือน – 1 ปี
บางรุ่นสามารถนำไปปรับใช้กับรถเข็นได้ ด้วยข้อดีของคุณสมบัติคือน้ำหนักเบา
พกพาสะดวก และติดตั้งง่ายอีกด้วย แต่หากใช้ไปเรื่อย ๆ อาจมีปัญหาเรื่องน้ำหนัก
ขณะถือกระเช้าตอนที่ลูกเริ่มโต อีกทั้งไม่ค่อยปลอดภัยเท่ากับคาร์ซีทชนิดอื่น ๆ - คาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิด Convertible เป็นคาร์ซีทที่มีขนาดใหญ่
ใช้งานได้ตั้งแต่วัยแรกเกิดจนถึงอายุ 4 ปี, 7 ปี, หรือ 12 ปี แล้วแต่บางรุ่น
โดยอยู่ที่ความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ เป็นคาร์ซีทที่นิยมใช้กันมาก
เพราะสะดวกต่อการใช้งานและมีฟังก์ชันมากพอสมควร
หลักการเลือกคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิด
เด็กวัยแรกเกิดควรได้รับการปกป้องเพื่อความปลอดภัย เนื่องจากร่างกายยังไม่เจริญเติบโตแข็งแรงเต็มที่และช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เพราะฉะนั้นการเลือกคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิด
จึงมีจุดสำคัญที่คุณพ่อคุณแม่ต้องใส่ใจอย่างยิ่ง
- มีซัพพอร์ทบริเวณศีรษะ เพราะศีรษะของเด็กแรกเกิดมีขนาดเท่ากับ 1 ใน 4 ของร่างกายมีความบอบบางและยังมีน้ำหนักมากเมื่อเทียบกับขนาดของร่างกายทั้งหมด
- เบาะรองนอนซัพพอร์ทกระดูกสันหลัง เด็กแรกเกิดจะมีแนวกระดูกสันหลัง
ลักษณะเส้นตรงที่ไม่สามารถทรงตัวได้ ส่งผลให้กระดูกสะโพกเคลื่อนได้ง่าย
ดังนั้นเบาะรองนอนควรช่วยจัดให้ร่างกายอยู่ในท่านั่งหรือนอนที่สามารถเคลื่อนไหว
ขยับแขนขาได้สะดวก - ปรับองศาการนอนได้เหมาะสม คาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดควรสามารถปรับเบาะองศา
การนอนที่ 135 – 170 องศาได้ เพื่อป้องกันไม่ให้ทางเดินหายใจถูกกดทับ
จนเกิดสภาวะหายใจติดขัด เนื่องจากเด็กวัยนี้มีระบบหายใจที่พัฒนายังไม่เต็มที่ - สามารถระบายอากาศได้ดี เนื่องจากระบบการควบคุมอุณหภูมิร่างกายของเด็กแรกเกิด
ยังพัฒนาไม่เต็มที่ ควบคุมอุณหภูมิภายในร่างกายได้ไม่ดีพอ เพราะฉะนั้นเบาะของคาร์ซีท
จึงควรมีคุณสมบัติสามารถระบายอากาศได้ดี ไม่กักเก็บเหงื่อ โดยเฉพาะบริเวณที่รองรับ
แผ่นหลัง ซึ่งเป็นจุดที่เหงื่อออกได้ง่ายกว่าบริเวณอื่น เพื่อให้ลูกน้อยรู้สึกสบายตัวที่สุด
และไม่เกิดอาการแพ้เหงื่อตัวเอง - มีหลังคาบังแดด เด็กวัยแรกเกิดจะมีระยะการมองเห็นเพียงสั้น ๆ แล้วรับรู้ข้อมูลผ่านประสาทสัมผัสด้านร่างกาย ดังนั้นคาร์ซีทที่เหมาะสมควรมีหลังคาบังแสงแดดและป้องกันรังสียูวีที่เป็นอันตรายต่อสายตาและผิวพรรณของลูกน้อย
วิธีเลือกคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดจากอายุการใช้งานหรือฟังก์ชันการใช้งาน
ในท้องตลาดมีคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดมากมายหลายรุ่น ทำให้คุณพ่อคุณแม่อาจจะตาลายตัดสินใจเลือกยากสักหน่อย เพราะฉะนั้นเรามีวิธีเลือกคาร์ซีทที่เหมาะสมกับเด็กแรกเกิด
โดยพิจารณาจากอายุการใช้งานหรือฟังก์ชันการใช้งานตามความสะดวกของคุณพ่อคุณแม่ได้เลย
- เลือกคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดจากอายุการใช้งาน
- Newborn Only คาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดประเภทนี้จะมีอายุการใช้งานค่อนข้างสั้น สามารถใช้งานได้ไม่เกิน 1 ปี จึงเหมาะสำหรับครอบครัวที่ต้องการมีคาร์ซีท 2 ตัว
- Convertible เป็นคาร์ซีทที่สามารถใช้ได้ตั้งแต่วัยแรกเกิดจนโตหรือเดินทางเป็นประจำ ด้วยขนาดใหญ่และมีฟังก์ชันการใช้งานอย่างครอบคลุม ทั้งยังมีหลากหลายแบบให้เลือกตามความสะดวก จึงเป็นคาร์ซีทที่ได้รับความนิยมสูงนั่นเอง
- เลือกคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดจากฟังก์ชันการใช้งาน
- คาร์ซีทแบบหมุนได้ เป็นคาร์ซีทที่สามารถหมุนเบาะรถหันหน้าเข้าหรือออกได้ 360 องศาในตัวเดียว จบในการติดตั้งครั้งแรกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ทำให้คุณพ่อคุณแม่ดูแลลูกน้อยสะดวกยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการอุ้มลูกขึ้นลงจากรถ พูดคุยเล่นกับลูก
หรือเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูก แต่คาร์ซีทประเภทนี้จะมีข้อเสียตรงที่มีอายุการใช้งานสั้น
ถึงลูกอายุ 4 ปีเท่านั้น - คาร์ซีทแบบหมุนไม่ได้ เมื่อต้องการสลับหันหน้าอีกด้านจะต้องทำการติดตั้งใหม่เท่านั้น แต่ยังมีข้อดีตรงที่มีอายุการใช้งานยาวนานกว่าประเภทอื่น ซึ่งบางรุ่นสามารถใช้งานได้นานจนลูกอายุถึง 12 ปีเลยทีเดียว
ในยุคปัจจุบันคาร์ซีทสำหรับเด็กแรกเกิดได้รับการพัฒนาให้มีฟังก์ชันต่าง ๆ ที่ตอบสนองการใช้งานของคุณพ่อคุณแม่สะดวกยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการปรับเอนนอนราบ เพราะช่วงเวลาของเด็กวัยนี้จะใช้กับการนอนเป็นส่วนใหญ่ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือควรพิจารณาถึงความปลอดภัยที่จะช่วยปกป้องลูกน้อยหากเกิดเหตุไม่คาดคิด