DATE
08.02.2023
คุณพ่อคุณแม่ทุกคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า คาร์ซีทมีความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยสำหรับการเดินทางของลูกน้อยมากแค่ไหน จนกระทั่งปัจจุบันได้รับความนิยมและยังเป็นกฎหมายข้อบังคับใช้ เพราะตระหนักถึงความสำคัญของความปลอดภัยจากการใช้คาร์ซีทนั่นเอง
แต่เมื่อไปเลือกซื้อคาร์ซีทก็อาจจะได้พบคำศัพท์แปลก ๆ ที่ไม่คุ้นมาก่อน โดยหนึ่งในนั้นต้องมีคำว่า ISOFIX อย่างแน่นอน วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ ISOFIX ว่าคืออะไรและมีความสำคัญต่อคาร์ซีทอย่างไรบ้าง
ISOFIX คืออะไร
ISOFIX มาจากคำว่า International Standards Organization Fix เป็นตัวช่วยสำคัญ ที่ทำให้คาร์ซีทสามารถยึดติดกับเบาะของรถยนต์ได้อย่างปลอดภัยและพอดี โดยไม่ต้องอาศัยเข็มขัดนิรภัยเป็นตัวช่วย ทั้งเป็นมาตรฐานที่ใช้กันทั่วโลกและมีข้อดีตรงที่ช่วยลดข้อผิดพลาดการติดตั้งคาร์ซีทที่อาจเกิดขึ้นได้
ISOFIX มีชื่อเรียกแต่ละท้องถิ่นแตกต่างกันไป เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกาเรียกว่า Latch ส่วนประเทศแคนาดาจะเรียกว่า CANFIX แต่ทั้งหมดก็คือระบบ ISOFIX เหมือนกันทั้งสิ้น ซึ่งรถรุ่นใหม่ ๆ ในปัจจุบันล้วนมี ISOFIX กันทั้งนั้น หรือกล่าวได้ว่าตั้งแต่ปลายปี 2014 รถเกือบทุกคันถูกบังคับให้มี ISOFIX ตั้งแต่การผลิต เพื่อให้รองรับกับคาร์ซีทที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยแก่เด็กนั่นเอง
ISOFIX กับ ISOFIT แตกต่างกันอย่างไร
ถ้าอธิบายให้ชัดเจนและเข้าใจง่าย ๆ ระหว่างคำว่า ISOFIX กับ ISOFIT ก็คือ ISOFIX เป็นมาตรฐานการยึดคาร์ซีทสำหรับเด็กวัยแรกเกิดถึงอายุ 4 ปีกับเบาะรถ ในขณะที่ ISOFIT จะเป็นระบบของคาร์ซีทสำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 4 ปีจนถึงเด็กโต โดยมีระบบการทำงานแตกต่างกันเล็กน้อยตรงที่คาร์ซีทจะเชื่อมกับ ISOFIX เช่นเดิม ส่วน ISOFIT จะมีการใช้เข็มขัดนิรภัยของรถยนต์เข้ามาทำหน้าที่แทน
รูปแบบของ ISOFIX ในคาร์ซีท
- Universal ใช้ติดตั้งคาร์ซีทแบบที่หันไปทางด้านหน้า (Forward – facing) สามารถใช้ยึดเกาะได้ทั้งส่วนบน (top tether) กับส่วนล่าง (foot prop) เข้ากับพื้น เป็นรูปแบบที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ส่วนใหญ่ใช้รูปแบบนี้
- Semi Universal ใช้ติดตั้งคาร์ซีทได้ทั้งแบบที่หันไปทางด้านหน้า (Forward – facing) และแบบที่หันไปทางด้านหลัง (rearward – facing) สามารถใช้ยึดเกาะได้ทั้งส่วนบน (top tether) กับส่วนล่าง (foot prop) เข้ากับพื้น รวมทั้งส่วนของ connectors ที่เสียบเข้ากับเบาะด้วย
- Vehicle Specific รูปแบบนี้จะใช้การยึดเกาะที่เสียบกับเบาะเพียงจุดเดียวเท่านั้น แต่การติดตั้งต้องเช็คกับรถยนต์ของคุณพ่อคุณแม่ว่ารองรับรูปแบบลักษณะนี้หรือไม่
หลักการทำงานของ ISOFIX
ก่อนอื่นคุณพ่อคุณแม่ควรทำความเข้าใจว่า เราต้องเช็ครถยนต์รุ่นที่ใช้อยู่นั้นมีตัว ISOFIX ติดตั้งมาหรือไม่ เนื่องจากรถรุ่นใหม่ ๆ เกือบทุกรุ่นจะมีอยู่แล้ว ส่วนรถรุ่นเก่ามักจะมีแค่เพียงบางรุ่นเท่านั้น และหากไม่มีตัว ISOFIX ติดตั้งมาให้ก็ไม่สามารถติดตั้งเพิ่มเติมทีหลังได้ ซึ่งหมายความว่ารถยนต์ต้องมี ISOFIX ติดตั้งมาให้ตั้งแต่แรกเท่านั้นถึงจะใช้ได้
ส่วน ISOFIX ที่ถูกติดตั้งมานั้น คุณพ่อคุณแม่สังเกตคาร์ซีทที่ด้านหลังจะมีตัว Connectors สำหรับไว้เชื่อมกับตัว ISOFIX ที่รถยนต์ของเรา เมื่อเสียบเข้าด้วยกันให้ตรงจุดก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย
ข้อดีของ ISOFIX
- เป็นรูปแบบที่ติดตั้งง่าย สะดวกสบาย
- การติดตั้งรูปแบบนี้ทำให้การยึดเกาะของคาร์ซีทมีความแข็งแรง
- ช่วยลดความเสี่ยงการติดตั้งผิดตำแหน่ง ซึ่งมีการสำรวจโดย German Insurance Institute (GDV) พบว่า 96% ของคาร์ซีทที่ติดตั้งด้วย ISOFIX มีการจัดวางอย่างถูกต้อง ในขณะที่การติดตั้งด้วยเข็มขัดนิรภัยมีความถูกต้องเพียง 30% เท่านั้น
ข้อเสียของ ISOFIX
- รูปแบบ ISOFIX ไม่ได้มีในรถยนต์ทุกรุ่น คุณพ่อคุณแม่ที่มีรถยนต์หลายคันแล้วต้องเปลี่ยนคาร์ซีทบ่อย ๆ จะค่อนข้างยุ่งยากพอสมควร ดังนั้นควรตรวจเช็ครถยนต์ทุกคันที่มีให้แน่ใจว่ามี ISOFIX หรือไม่ เพื่อจะได้วางแผนว่าจะซื้อหรือติดตั้งแบบใด
คุณพ่อคุณแม่จะเห็นว่า ISOFIX มีหลักการทำงานที่เป็นประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะจุดเด่นในด้านการลดข้อผิดพลาดการติดตั้งและการจัดวางคาร์ซีทให้ง่ายสะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยแก่ลูกน้อยของเราเอง แต่จุดสำคัญที่สุดคือก่อนซื้อคาร์ซีทก็อย่าลืมเช็ครถที่จะติดตั้งให้ดีว่ามีตัว ISOFIX มาด้วยหรือไม่ เราจะได้มองหาคาร์ซีทที่ถูกต้องเหมาะสมกับการใช้งานได้มากที่สุด